ผลงานกำกับโดย จางอี้โหมว
เป็นภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง
ทางด้านภาษา สังคม วัฒนธรรม นั้นทำให้เห็นว่ามนุษย์เรานั้น
จะสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้ภาษาเพียงอย่างเดียว สามารถนำกริยา
ท่าทาง สีหน้า มาสื่อสารกันได้ โดยเป็นลักษณะของทฤษฎีสัญญะ
ตัวละครเอกผู้เป็นพ่อ
ที่ไม่ได้ติดต่อกับลูกชายของตนเองหลังจากภรรยาของเขาเสียไป
ไปสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูกชายมีความห่างเหินกัน จนกระทั่งทราบข่าวว่าลูกชายป่วย
จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องออกเดินทางไปยังประเทศจีน
เพื่อทำตามความฝันของลูกชายเสมือนเป็นการทำหน้าที่พ่อให้กับลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย
เหตุการณ์โดยรวมที่เกิดขึ้น
นั้นให้ความหมายที่มากกว่าการเดินทางไปเพียงแค่ไปถ่ายรูปการแสดง งิ้ว
แต่มีความหมายถึง การเดินทางออกจากกรอบที่ตัวเองสร้างไว้ เการแสดงความรักที่มีต่อลูกชายของตัวเองโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดใด
การยอมรับที่จะทำความเข้าใจในตัวของลูกชายตัวเอง
โดยที่ไม่สนใจว่าลูกชายของเขาต้องการสิ่งที่เขาจะทำให้หรือไม่
ความสัมพันธ์ที่มีความที่มีความห่างเหิน
ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าความห่างเหินไม่ใช่เรื่องของระยะทางแต่กลับเป็นเรื่องของความรู้สึก
การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางไกลที่มีระยะหลายพันไมล์แต่สิ่งที่
ทาคาตะ ได้รับจากการเดินทางครั้งนี้กับไม่ได้รู้สึกถึงความไกลเหมือนกับระยะทางที่ได้เดินทางมา
ระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีน เขาได้รับทั้งมิตรภาพ ความอบอุ่น
ที่ระยะทางไม่มีผลกับเขา ทำให้เราสามารถมองข้ามภาษา วัฒนธรรมที่มีความแตกต่าง และไม่ใช่ข้อจำกัดของการสร้างมิตรภาพ
ระยะทางกับความรู้สึก
เปรียบได้ว่าหากอยู่ใกล้กันแต่ถ้าไม่เปิดใจยอมรับนั้นก็เหมือนอยู่ไกลกัน
จะเห็นได้จากตอนที่ ทาคาตะไปเยี่ยมลูกชายของเขาที่โรงพยาบาล
ห่างกันเพียงแค่กำแพงหนึ่ง แต่ทางความรู้สึกนั้นกลับมีความห่างเหิน
แต่เมื่อทาคาตะได้ออกเดินทาง เขาได้เข้าใจลูกชายมากขึ้นพร้อมกับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของ เคนอิจิแล้ว ถึงแม้ตัวเคนอิจิจะตายไป
แต่ก็กลับมีความรู้สึกที่ใกล้กันมากขึ้น
การแสดงงิ้วที่สวมหน้ากาก เปรียบได้ถึงความรู้สึกที่ถูกปิดกั้น
เพราะเราไม่สามารถรับรู้ถึงอารมณ์ของนักแสดงที่อยู่หลังหน้ากากนั้นได้
สิ่งที่เราเห็นได้ก็มีแต่สิ่งที่เขาแสดงออกมา ตอนที่นักแสดงหลี่
เปิดหน้ากากของตนเองแล้วร้องไห้นั้นเหมือนกับการเปิดเผยความรู้สึก
ที่ตัวเองนั้นอยากเจอลูกชาย รวมถึงความรู้สึกของเคนอิจิ ที่ได้บอกว่าตัวเขาได้ซ้อนความรู้สึกที่ไม่ต่างจากการใส่หน้ากาก
คุก ในภาพยนตร์ได้ให้ความหมายว่า
ถึงแม้ตัวของหลี่จะถูกกักขัง จึงทำให้ไม่สามารถไปหาลูกได้แต่ตัวเขาไม่เคยกักขังความรู้สึกตัวเอง
ต่างจากทาคาตะที่ไม่มีสิ่งใดกักขัง แต่เป็นใจของเขาเอง
เมื่อทาคาตะได้พบกับหยางหยางลูกชายของหลี่
ที่ทาคาตะได้ตั้งใจว่าจะพาหยางหยางไปพบกับพ่อของเขา
ซึ่งทาคาตะได้สังเกตเห็นว่าหยางหยางเหมือนไม่อยากพบพ่อของตัวเอง การหนีของหยางหยาง
เป็นการแสดงความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งเราสามารถรู้ถึงความรู้สึกของหยางหยางได้โดยที่ไม่ต้องใช้ภาษาใดๆในการอธิบาย
การที่เขาได้ห่างเหินจากลูกชายมานานทำให้เขาไม่รู้ถึงความรู้สึกของลูกชาย
แต่เมื่อเขาได้พบหยางหยางจึงได้กลายเป็นตัวละครหนึ่งที่ได้สะท้อนว่า
ลูกชายของเขาคงไม่ต่างไปจากเด็กชายคนนี้เช่นกัน
ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเอ็นดูหยางหยางอย่างมาก ในช่วงที่ทั้งสองหลงทางกับเป็นช่วงที่ทั้งสองเกิดความรู้สึกผูกพันธ์
ทั้งๆที่ทั้งสองมีความแตกต่างกันในเรื่องภาษา
ซึ่งหมายความได้ว่าภาษาไม่ใช่ข้อจำกัดในการแสดงความรู้สึก
สิ่งที่สามารถเข้าใจได้นั้นมาจากการกระทำ การกอดกันที่เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้เข้าใจได้ความรู้สึกได้โดยไม่ต้องพูด
ในช่วงเหตุการณ์ที่ทั้งสองหลงทาง
จะเห็นได้ว่ามีการใช้สัญญาณขอความช่วยเหลือ
โดยใช้แฟลชจากกล้องถ่ายรูปเป็นเครื่องมือส่งสัญญาณ
ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารโดยใช้ระบบของสัญญะ
ความสวยงามของภาพยนตร์เรื่องนี้
ไม่ได้เกิดจากรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม แต่เมื่อได้ดูแล้วก็สามารถรู้สึกว่าความที่สวยงามที่แท้จริงนั้น
มาจากความเป็นธรรมชาติที่ไม่มีการปรุ่งแต่งใดๆ ความเป็นธรรมชาติของชุมชนที่ดูเก่า
ชนบท ดูทรุดโทรม แต่กลับมองเห็นได้ว่าความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนนี้มันมีความสวยงาม
ชุดของนักแสดงงิ้วที่ดูเก่า
ดูทรุดโทรม
แต่การแสดงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกทำให้เราสามารถมองข้ามความสวยงามทางภาพลักษณ์ไปได้
ทางด้านตัวละคร เด็กน้อยหยางหยางที่มีหน้ามอมแมม
สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ความเป็นธรรมชาติในวัยเด็ก ที่ไม่มีอะไรเจือปน
ความซื่อสัตย์ทางอารมณ์เด็กที่ไม่ได้ปกปิด ทำให้เราได้เห็นความรู้สึกของเขาทำให้เรามองข้ามภาพลักษณ์ภายนอกไปด้วยเช่นกัน
หากความสวยงามไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นรูปธรรม
แต่สามารถเห็นได้ผ่านความรู้สึก ซึ่งมีอีกสิ่งที่เป็นความสวยงามของเรื่องนี้คือ
มิตรภาพ การช่วยเหลือซึ่งกันและกันที่ไม่ได้แบ่งแยก การยินดีต้อนรับของชาวบ้านที่มอบให้กับทาคาตะ
สิ่งที่เขาได้รับไม่ใช่เพียงแค่การทำตามความฝันของลูกชาย
แต่ตัวเขากับกลับได้ออกมาจากความรุ้สึกที่ถูกกักขังไว้ภายใน
สรุปได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการที่จะเสนอถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก
2 คู่ ที่มีความเหมือนกันทางด้านความสัมพันธ์ แต่มีมุมมองที่แตกต่างกัน
ทาคาตะ กับ เคนอิจิ พ่อที่กักขังความรู้สึกตัวเอง
ไม่เคยแสเงความรู้สึกอะไรกับลูกชาย ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้จึงได้กลายเป็นโอกาสในการเปิดเผยความรู้สึกต่อลูกชายที่ป่วยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เคนอิจิจะจากโลกไป
หลี่ กับ หยางหยาง พ่อที่ติดคุกถูกกักขังทางด้านร่ายกาย
แต่ยอมรับในความรู้สึกของตัวเอง หยางหยางเด็กน้อยที่ยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าพ่อ
ซึ่งกลับกลายเป็นตัวของหยางหยางยังไม่ได้เปิดโอกาสให้พ่อของเขาได้แสดงความรู้สึก
ทำให้เห็นถึงความแตกต่างได้ว่าพ่อคนนึงที่ถูกกักขังร่างกายแต่ไม่ได้กักขังความรู้สึกของตัวเอง
ส่วนทาคาตะที่ไม่ถูกกักขังร่างกาย แต่เป็นตัวเขาที่กักขังตัวเอง
by : Kamonwan Srichalongrat
by : Kamonwan Srichalongrat