วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

แท็กซี่ระทึกขวัญ

เรื่องโดย สรรัตน์ จิรบวรวิสุทธิ์

แท็กซี่ระทึกขวัญ


เที่ยงคืนแล้ว...                                                                         

          รถโดยสารประจำทางที่ผ่านหน้าปากซอยหมดไปตั้งแต่ห้าทุ่มครึ่ง ผมยืนรอแท็กซี่อยู่นานอาจเป็นเพราะว่าแถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยวนานๆทีจะมีรถวิ่งผ่านไปสักคัน   
         “จะไปไหนหรือคุณ?
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อหันไปมองต้นเสียงก็เห็นรถแท็กซี่สีชมพูสดที่ผมกำลังรอ จอดเฉียดอยู่ข้างๆ 
         “อะ...เอ่อ
ผมอ้ำอึ้ง พยายามเพ่งผ่านกระจกไฟฟ้าด้านข้างคนขับที่ลดระดับลงมา พอเห็นลางๆว่าคนขับไว้หนวดเครารุงรัง ผมตัดสินใจบอกที่หมายที่จะไปทันทีหลังจากที่ยืนรอจนขาแข็ง
          ไปวัดเสมียนนารีครับ
          โชเฟอร์พยักหน้า ผมเปิดประตูไปนั่งที่เบาะหลัง
          ทำไมไม่เปิดไฟหน้ารถล่ะครับ
ผมถามเมื่อเห็นว่ารถเคลื่อนที่ออกมาไกลแล้วแต่ไม่ยักมีแสงสว่างทอดส่องผิวถนนมืดมิดเบื้องหน้า
          ไฟมันเสียน่ะคุณ เพิ่งเสียเมื่อตะกี้นี้เอง” 
          “อะ...เอ่อ
ผมอ้ำอึ้ง พยายามเพ่งผ่านกระจกไฟฟ้าด้านข้างคนขับที่ลดระดับลงมา พอเห็นลางๆว่าคนขับไว้หนวดเครารุงรัง ผมตัดสินใจบอกที่หมายที่จะไปทันทีหลังจากที่ยืนรอจนขาแข็ง
          ไปวัดเสมียนนารีครับ
          โชเฟอร์พยักหน้า ผมเปิดประตูไปนั่งที่เบาะหลัง
          ทำไมไม่เปิดไฟหน้ารถล่ะครับ
ผมถามเมื่อเห็นว่ารถเคลื่อนที่ออกมาไกลแล้วแต่ไม่ยักมีแสงสว่างทอดส่องผิวถนนมืดมิดเบื้องหน้า
          ไฟมันเสียน่ะคุณ เพิ่งเสียเมื่อตะกี้นี้เอง” 
คนขับตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผมอดหวั่นใจไม่ได้เมื่อนึกถึงภาพข่าวอุบัติเหตุรถพุ่งประสานงาตามหน้าหนังสือพิมพ์
ผมลอบชำเลืองคนขับหลายครั้ง พอสังเกตได้ว่าเขาเป็นชายร่างใหญ่ มีหนวดเครารุงรังที่ใบหน้า ขนหยาบๆขึ้นตามแขน ดูกี่ทีก็เหมือนคนสกปรก กลิ่นอับๆในรถทำให้ผมรู้สึกมึนหัวอย่างประหลาด
          “คืนนี้วันศุกร์ไม่ออกไปเที่ยวไหนเหรอ
          เสียงถามนั้นห้วนๆแต่ดูมีอำนาจ
          ไม่ล่ะครับ งานผมยุ่ง
ดูเหมือนเขาจะพยายามหาเรื่องคุยกับผมมากกว่า แต่ในใจก็นึกระแวงว่า...จะมาไม้ไหนกันแน่?
          “คืนนี้วันศุกร์ไม่ออกไปเที่ยวไหนเหรอ
เสียงถามนั้นห้วนๆแต่ดูมีอำนาจ
          ไม่ล่ะครับ งานผมยุ่ง
ดูเหมือนเขาจะพยายามหาเรื่องคุยกับผมมากกว่า แต่ในใจก็นึกระแวงว่า...จะมาไม้ไหนกันแน่?
          “คืนนี้วันศุกร์ไม่ออกไปเที่ยวไหนเหรอ
          เสียงถามนั้นห้วนๆแต่ดูมีอำนาจ
          ไม่ล่ะครับ งานผมยุ่ง
ดูเหมือนเขาจะพยายามหาเรื่องคุยกับผมมากกว่า แต่ในใจก็นึกระแวงว่า...จะมาไม้ไหนกันแน่?
แต่ก่อนที่ความสงสัยจะลุกลามไปมากกว่านั้น ผมมองฝ่ากระจกรถไปเบื้องหน้าซึ่งอยู่ห่างไปประมาณร้อยเมตร มีใครยืนโบกรถอยู่!
          พี่ครับจอดก่อนครับ รับคนข้างหน้าด้วย เขาคงตกรถ
          หึ หึ...ไม่ต้องหรอก ได้พวกนั้นมันหลอกของมันอย่างนี้ทุกวัน บางทียกโขยงมาหลอกกันเป็นแก็งเลยก็มี
          “พวกจี้ปล้นเหรอครับความหวังดีของผมหดหายไปทันที
          เปล่า...มันเป็นผีตายโหงน่ะคุณ
ผมเพ่งสายตาฝ่าความมืดออกไปอย่างพินิจพิเคราะห์ เมื่อรถวิ่งเข้าใกล้ไปเรื่อยๆ ภาพที่ปรากฏทำเอาผมสะท้านไปทั้งร่าง เหมือนกับว่าเลือดที่ถูกบีบเค้นจากหัวใจไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายนั้น ไหลผ่านธารน้ำแข็งอันเย็นยะเยือก
ระยะห่างเพียงไม่กี่เมตรทำให้ผมเห็นชายคนนั้นชัดเจน เขายืนโบกรถเนื้อตัวแดงฉานไปด้วยเลือด และไอ้สิ่งที่ถือโบกรถอยู่นั้นเป็นท่อนขาอีกข้างที่ขาดสะบั้นออกจากร่างแล้ว
ขนทั่วร่างกายผมพากันทะลึ่งพรวดขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย แม้ว่ารถจะวิ่งผ่านร่างเจ้าผีร้ายนั้นมาแล้ว แต่เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังไล่หลังตามมา...
ผมหันหลังกลับไปมองอีกครั้งมันยังยืนแลบลิ้นยาวเฟื้อยอยู่ที่ข้างหลักกิโลเมตรที่13 ผมจำได้ติดตา !
          กลัวเหรอ โชเฟอร์ถาม คงเห็นอาการผมเมื่อครู่
          คระ...ครับ...พี่ไม่กลัวเหรอ
          เฉยๆ ชินแล้ว... เมื่ออาทิตย์ก่อนเด็กขายพวงมาลัยวิ่งตัดหน้าสิบล้อเลยถูกเหยียบซะเละตัวไปทาง ขาไปทาง
ผมพูดอะไรไม่ออก หน้าซีดปากสั่นไปหมด เคยกลัวโจรเหรอมากกว่าผีหลอก แต่ตอนนี้ชักเริ่มเปลี่ยนใจ ครั้งแรกของผมโดนซะแล้ว!!
          ดูข้างหน้านั่นสิเสียงคนขับทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ข้างหน้า...ผมเห็นร่างๆหนึ่งยืนขวางอยู่กลางถนนในระยะประชิด มันขว้างอะไรบางอย่างมายังกระจกหน้ารถดังปุ !
          หัวคน!
ผมแทบช็อคเมื่อเห็นศีรษะโชกเลือดแสยะยิ้มกลิ้งหลุนๆอยู่บนฟากระโปรง
          จอดเดี๋ยวนี้ จอดตรงนี้แหละครับ
ผมทนไม่ไหวแล้ว แต่โชเฟอร์ยามวิกาลยังเหยียบคันเร่งไม่ยอมหยุดผมชักยัวะ ขยับเข้าไปขยับบ่าเขาอย่างแรง แรงจนมีบางอย่างตกลงมาบนหน้าตัก
          ลูกตามนุษย์ !
          “เบาๆหน่อยซิคุณ ลูกตาผมหลุดออกจากเบ้าแล้ว...เห่อๆ…”
มันหัวเราะเสียงเย็นยะเยือกน่าเสียวสันหลัง
ใช่แล้ว! คนขับแท็กซี่คันนี้เป็นผีจริงๆทำไมผมถึงดูไม่ออกตั้งแต่แรกน่ะ ผมผลักประตูแล้วพุ่งกระโจนออกจากแท็กซี่มหาภัยทันที ร่างผมกลิ้งตะหลบอยู่บนพื้นถนน รู้สึกร้าวระบมไปทั้งร่าง
          เห่อๆ จะรีบไปไหน ยังไม่ถึงที่ซะหน่อย ฮ่าๆ…”
คนขับแท็กซี่ผีตาโบ๋กับผีหัวขาดข้างทางเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาหาผมอย่างประสงค์ร้าย
เหงื่อเม็ดตัวผุดขึ้นเต็มหน้าผาก มันใกล้เข้ามาแล้ว ผมล้วงอาวุธออกมาจากกระเป๋าเอกสารสีดำมันปลาบเมื่อเห็นจวนตัว
มันเป็นเชือกสีขาว!
เจ้าผีโชเฟอร์ผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นของสิ่งนั้นเต็มตา ผมเหวี่ยงเชือกที่เริ่มลุกเป็นไฟไปคล้องเข้าที่คอของมันราวจับวาง มันร้องโหยหวนร่างกระตุกเกร็ง พยายามดิ้นแต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัด!
ผีหัวขาดทำท่าจะหิ้วหัวหนีแต่ทว่าป่วยการ ผมตวัดเชือกอีกเส้นหนึ่งรัดร่างไร้หัวของมันเต็มแรง ชั่วไม่กี่อึดใจผีร้ายทั้งสองก็ถูกมัดกองกับพื้นสิ้นสภาพ
          เจ้า...เจ้าเป็นใครกันแน่โชเฟอร์ผีนรกละล่ำละลักถาม
ผมหยักไหล่เล็กน้อยก่อนตอบ
          “ผมเพิ่งเป็นยมทูตฝึกหัดวันแรกน่ะครับ
          พวกมันอ้าปากค้าง
          บริการไม่ทันใจ ขออภัยด้วยน่ะครับ ตอนนี้พวกคุณต้องไปนรกกับผมแล้ว
          ผมส่งยิ้มหวานตามหลักสูตรที่ผ่านการอบรมมา พวกมันร้องแหบโหย แล้วลอยหวือเข้ามาในกระเป๋าเอกสารสีดำเมื่อผมกระตุกเชือก
เรียบร้อยไปอีกสอง ผมรูดซิปกระเป๋าปิดสนิท ฝันหวานถึงตำแหน่งที่รออยู่หลังผ่านการทดลองงาน พวกวิญญาณเร่ร่อนที่เที่ยวหลอกหลอนอาละวาดแบบนี้ไม่มีทางที่จะหลีกหนีโทษทัณฑ์จากนรกไปได้หรอก
          ใช่ซิ! งานของผมยังไม่เสร็จสมบูรณ์
ผมปัดเศษฝุ่นที่เปื้อนเลอะเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน หิ้วกระเป๋าเอกสารสีดำคู่ใจหันหลังกลับ
          เป้าหมายต่อไป...หลักกิโลเมตรที่13!!!

Cover llustration By Kamonwan Srichalongrat
Facebook : Kamonwan Srichalongrat


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น