เรื่องโดย สรรัตน์ จิรบวรวิสุทธิ์
แท็กซี่ระทึกขวัญ
เที่ยงคืนแล้ว...
รถโดยสารประจำทางที่ผ่านหน้าปากซอยหมดไปตั้งแต่ห้าทุ่มครึ่ง
ผมยืนรอแท็กซี่อยู่นานอาจเป็นเพราะว่าแถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยวนานๆทีจะมีรถวิ่งผ่านไปสักคัน
“จะไปไหนหรือคุณ?”
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อหันไปมองต้นเสียงก็เห็นรถแท็กซี่สีชมพูสดที่ผมกำลังรอ จอดเฉียดอยู่ข้างๆ
“อะ...เอ่อ”
ผมอ้ำอึ้ง
พยายามเพ่งผ่านกระจกไฟฟ้าด้านข้างคนขับที่ลดระดับลงมา
พอเห็นลางๆว่าคนขับไว้หนวดเครารุงรัง ผมตัดสินใจบอกที่หมายที่จะไปทันทีหลังจากที่ยืนรอจนขาแข็ง
“ไปวัดเสมียนนารีครับ”
โชเฟอร์พยักหน้า
ผมเปิดประตูไปนั่งที่เบาะหลัง
“ทำไมไม่เปิดไฟหน้ารถล่ะครับ”
ผมถามเมื่อเห็นว่ารถเคลื่อนที่ออกมาไกลแล้วแต่ไม่ยักมีแสงสว่างทอดส่องผิวถนนมืดมิดเบื้องหน้า
“ไฟมันเสียน่ะคุณ เพิ่งเสียเมื่อตะกี้นี้เอง”
“อะ...เอ่อ”
ผมอ้ำอึ้ง
พยายามเพ่งผ่านกระจกไฟฟ้าด้านข้างคนขับที่ลดระดับลงมา
พอเห็นลางๆว่าคนขับไว้หนวดเครารุงรัง ผมตัดสินใจบอกที่หมายที่จะไปทันทีหลังจากที่ยืนรอจนขาแข็ง
“ไปวัดเสมียนนารีครับ”
โชเฟอร์พยักหน้า
ผมเปิดประตูไปนั่งที่เบาะหลัง
“ทำไมไม่เปิดไฟหน้ารถล่ะครับ”
ผมถามเมื่อเห็นว่ารถเคลื่อนที่ออกมาไกลแล้วแต่ไม่ยักมีแสงสว่างทอดส่องผิวถนนมืดมิดเบื้องหน้า
“ไฟมันเสียน่ะคุณ เพิ่งเสียเมื่อตะกี้นี้เอง”
คนขับตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ผมอดหวั่นใจไม่ได้เมื่อนึกถึงภาพข่าวอุบัติเหตุรถพุ่งประสานงาตามหน้าหนังสือพิมพ์
ผมลอบชำเลืองคนขับหลายครั้ง
พอสังเกตได้ว่าเขาเป็นชายร่างใหญ่ มีหนวดเครารุงรังที่ใบหน้า ขนหยาบๆขึ้นตามแขน
ดูกี่ทีก็เหมือนคนสกปรก กลิ่นอับๆในรถทำให้ผมรู้สึกมึนหัวอย่างประหลาด
“คืนนี้วันศุกร์ไม่ออกไปเที่ยวไหนเหรอ”
เสียงถามนั้นห้วนๆแต่ดูมีอำนาจ
“ไม่ล่ะครับ
งานผมยุ่ง”
ดูเหมือนเขาจะพยายามหาเรื่องคุยกับผมมากกว่า
แต่ในใจก็นึกระแวงว่า...จะมาไม้ไหนกันแน่?
“คืนนี้วันศุกร์ไม่ออกไปเที่ยวไหนเหรอ”
เสียงถามนั้นห้วนๆแต่ดูมีอำนาจ
“ไม่ล่ะครับ
งานผมยุ่ง”
ดูเหมือนเขาจะพยายามหาเรื่องคุยกับผมมากกว่า
แต่ในใจก็นึกระแวงว่า...จะมาไม้ไหนกันแน่?
“คืนนี้วันศุกร์ไม่ออกไปเที่ยวไหนเหรอ”
เสียงถามนั้นห้วนๆแต่ดูมีอำนาจ
“ไม่ล่ะครับ
งานผมยุ่ง”
ดูเหมือนเขาจะพยายามหาเรื่องคุยกับผมมากกว่า
แต่ในใจก็นึกระแวงว่า...จะมาไม้ไหนกันแน่?
แต่ก่อนที่ความสงสัยจะลุกลามไปมากกว่านั้น
ผมมองฝ่ากระจกรถไปเบื้องหน้าซึ่งอยู่ห่างไปประมาณร้อยเมตร มีใครยืนโบกรถอยู่!
“พี่ครับจอดก่อนครับ
รับคนข้างหน้าด้วย เขาคงตกรถ”
“หึ
หึ...ไม่ต้องหรอก ได้พวกนั้นมันหลอกของมันอย่างนี้ทุกวัน
บางทียกโขยงมาหลอกกันเป็นแก็งเลยก็มี”
“พวกจี้ปล้นเหรอครับ”
ความหวังดีของผมหดหายไปทันที
“เปล่า...มันเป็นผีตายโหงน่ะคุณ”
ผมเพ่งสายตาฝ่าความมืดออกไปอย่างพินิจพิเคราะห์
เมื่อรถวิ่งเข้าใกล้ไปเรื่อยๆ ภาพที่ปรากฏทำเอาผมสะท้านไปทั้งร่าง
เหมือนกับว่าเลือดที่ถูกบีบเค้นจากหัวใจไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายนั้น
ไหลผ่านธารน้ำแข็งอันเย็นยะเยือก
ระยะห่างเพียงไม่กี่เมตรทำให้ผมเห็นชายคนนั้นชัดเจน
เขายืนโบกรถเนื้อตัวแดงฉานไปด้วยเลือด
และไอ้สิ่งที่ถือโบกรถอยู่นั้นเป็นท่อนขาอีกข้างที่ขาดสะบั้นออกจากร่างแล้ว
ขนทั่วร่างกายผมพากันทะลึ่งพรวดขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย
แม้ว่ารถจะวิ่งผ่านร่างเจ้าผีร้ายนั้นมาแล้ว
แต่เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังไล่หลังตามมา...
ผมหันหลังกลับไปมองอีกครั้งมันยังยืนแลบลิ้นยาวเฟื้อยอยู่ที่ข้างหลักกิโลเมตรที่13
ผมจำได้ติดตา !
“กลัวเหรอ” โชเฟอร์ถาม คงเห็นอาการผมเมื่อครู่
“คระ...ครับ...พี่ไม่กลัวเหรอ”
“เฉยๆ
ชินแล้ว... เมื่ออาทิตย์ก่อนเด็กขายพวงมาลัยวิ่งตัดหน้าสิบล้อเลยถูกเหยียบซะเละตัวไปทาง
ขาไปทาง”
ผมพูดอะไรไม่ออก หน้าซีดปากสั่นไปหมด
เคยกลัวโจรเหรอมากกว่าผีหลอก แต่ตอนนี้ชักเริ่มเปลี่ยนใจ ครั้งแรกของผมโดนซะแล้ว!!
“ดูข้างหน้านั่นสิ” เสียงคนขับทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ข้างหน้า...ผมเห็นร่างๆหนึ่งยืนขวางอยู่กลางถนนในระยะประชิด
มันขว้างอะไรบางอย่างมายังกระจกหน้ารถดังปุ !
หัวคน!
ผมแทบช็อคเมื่อเห็นศีรษะโชกเลือดแสยะยิ้มกลิ้งหลุนๆอยู่บนฟากระโปรง
“จอดเดี๋ยวนี้
จอดตรงนี้แหละครับ”
ผมทนไม่ไหวแล้ว
แต่โชเฟอร์ยามวิกาลยังเหยียบคันเร่งไม่ยอมหยุดผมชักยัวะ
ขยับเข้าไปขยับบ่าเขาอย่างแรง แรงจนมีบางอย่างตกลงมาบนหน้าตัก
ลูกตามนุษย์ !
“เบาๆหน่อยซิคุณ
ลูกตาผมหลุดออกจากเบ้าแล้ว...เห่อๆ…”
มันหัวเราะเสียงเย็นยะเยือกน่าเสียวสันหลัง
ใช่แล้ว!
คนขับแท็กซี่คันนี้เป็นผีจริงๆทำไมผมถึงดูไม่ออกตั้งแต่แรกน่ะ
ผมผลักประตูแล้วพุ่งกระโจนออกจากแท็กซี่มหาภัยทันที ร่างผมกลิ้งตะหลบอยู่บนพื้นถนน
รู้สึกร้าวระบมไปทั้งร่าง
“เห่อๆ
จะรีบไปไหน ยังไม่ถึงที่ซะหน่อย ฮ่าๆ…”
คนขับแท็กซี่ผีตาโบ๋กับผีหัวขาดข้างทางเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาหาผมอย่างประสงค์ร้าย
เหงื่อเม็ดตัวผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
มันใกล้เข้ามาแล้ว ผมล้วงอาวุธออกมาจากกระเป๋าเอกสารสีดำมันปลาบเมื่อเห็นจวนตัว
มันเป็นเชือกสีขาว!
เจ้าผีโชเฟอร์ผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นของสิ่งนั้นเต็มตา
ผมเหวี่ยงเชือกที่เริ่มลุกเป็นไฟไปคล้องเข้าที่คอของมันราวจับวาง
มันร้องโหยหวนร่างกระตุกเกร็ง พยายามดิ้นแต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัด!
ผีหัวขาดทำท่าจะหิ้วหัวหนีแต่ทว่าป่วยการ
ผมตวัดเชือกอีกเส้นหนึ่งรัดร่างไร้หัวของมันเต็มแรง
ชั่วไม่กี่อึดใจผีร้ายทั้งสองก็ถูกมัดกองกับพื้นสิ้นสภาพ
“เจ้า...เจ้าเป็นใครกันแน่”
โชเฟอร์ผีนรกละล่ำละลักถาม
ผมหยักไหล่เล็กน้อยก่อนตอบ
“ผมเพิ่งเป็นยมทูตฝึกหัดวันแรกน่ะครับ”
พวกมันอ้าปากค้าง
“บริการไม่ทันใจ
ขออภัยด้วยน่ะครับ ตอนนี้พวกคุณต้องไปนรกกับผมแล้ว”
ผมส่งยิ้มหวานตามหลักสูตรที่ผ่านการอบรมมา
พวกมันร้องแหบโหย แล้วลอยหวือเข้ามาในกระเป๋าเอกสารสีดำเมื่อผมกระตุกเชือก
เรียบร้อยไปอีกสอง
ผมรูดซิปกระเป๋าปิดสนิท ฝันหวานถึงตำแหน่งที่รออยู่หลังผ่านการทดลองงาน พวกวิญญาณเร่ร่อนที่เที่ยวหลอกหลอนอาละวาดแบบนี้ไม่มีทางที่จะหลีกหนีโทษทัณฑ์จากนรกไปได้หรอก
ใช่ซิ! งานของผมยังไม่เสร็จสมบูรณ์
ผมปัดเศษฝุ่นที่เปื้อนเลอะเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน
หิ้วกระเป๋าเอกสารสีดำคู่ใจหันหลังกลับ
เป้าหมายต่อไป...หลักกิโลเมตรที่13!!!
Cover llustration By Kamonwan Srichalongrat
Facebook : Kamonwan Srichalongrat
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น